Photo Techniques

10 เหตุผลที่ควรใช้โหมด M

ในสภาพแสงที่มีความเปรียบต่าง(contrast) สูง เช่น ย้อนแสง แสงเข้าด้านข้าง แสงตกเป็นจุดๆ ไม่สม่ำเสมอ ในสภาพแบบนี้แนะนำให้ใช้โหมด M ในการถ่ายภาพเพราะกล้องมักจะวัดแสงผิดเสมอเมื่อใช้โหมดอัตโนมัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น P, A หรือ S ก็ตาม ส่วนในโหมด M หากวัดแสงตามสเกลที่แสดงให้อยู่ตำแหน่ง 0 ก็มีโอกาสผิดพลาดเช่นกัน แต่เราสามารถแก้ไขด้วยการปรับความเร็วชัตเตอร์หรือรูรับแสงแล้วลองบันทึกภาพใหม่ เมื่อได้ค่าแสงที่พอดีแล้วก็ใช้ค่านั้นถ่ายภาพต่อๆ ไป ก็จะได้แสงที่ถูกต้อง เที่ยงตรงโดยไม่ต้องเสียเวลาชดเชยแสงอีก


หากซับเจกต์ที่คุณถ่ายภาพมีโทนสีขาวอยู่ในภาพเกิน 70-80% กล้องมักจะวัดแสงผิดพลาด ภาพที่ได้จะติดอันเดอร์แน่นอน การใช้โหมดอัตโนมัติ P, A หรือ S คุณจะต้องชดเชยแสงเพื่อให้ภาพสว่างขึ้น จะชดเชยมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระบบวัดแสงแค่ตำแหน่งซับเจกต์ด้วย กรณีนี้แนะนำให้ใช้ใหมด M เพราะเมื่อปรับจนได้ค่าแสงที่ถูกต้องแล้ว คุณจะสามารถถ่ายภาพต่อโดยไม่ต้องพะวงกับการวัดแสง เช่น ตัวแบบใส่เสื้อสีขาวอยู่ด้านหน้าผนังสีขาว เป็นต้น เช่นเดียวกับซับเจกต์ที่มีโทนสีเข้มก็ควรใช้โหมด M


บ่อยครั้งที่ในสภาพฉากเดียวกัน ช็อตแรกถ่ายกว้าง ภาพอาจติดฉากหลังสว่างภาพติดอันเดอร์ คุณจึงต้องชดเชยแสงทางบวกเพื่อให้ภาพสว่างขึ้นเมื่อใช้โหมดอัตโนมัติ แต่ช็อตต่อไปซูมเลนส์เข้ามาเพื่อถ่ายเจาะปรากฏว่าภาพที่ได้โอเวอร์เพราะไม่มีฉากหลังสว่างๆ ติดเข้ามาแล้ว ค่าชดเชยทางบวกของช็อตที่แล้วจึงทำให้ภาพนี้โอเวอร์ คุณก็ต้องเสียเวลาปรับชดเชยแสงกลับไปอีก ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นที่ตำแหน่ง 0 หรือไม่เพราะขึ้นอยู่กับสีของซับเจกต์ด้วย ดังนั้นในสภาพฉากเดียวกันแต่ต้องถ่ายกว้างบ้าง แคบบ้าง มุมกดบ้าง มุมเงยบ้าง ควรใช้โหมด M วัดแสงครั้งเดียวจบ ได้ค่าแสงถูกต้องคงที่ตลอด


เช่นในการถ่ายภาพแลนด์สเคป แสงไม่ได้เปลี่ยนตลอดเวลา การใช้โหมด M จะทำให้เราสามารถควบคุมความสว่างของภาพได้คงที่ตลอดโดยไม่ต้องพะวงกับค่าแสงในภาพเหมือนการใช้โหมด P, A หรือ S เพียงแค่วัดแสงและลองถ่ายแค่ 1-2 ภาพ จากนั้นก็ใช้ค่าแสงนั้นถ่ายภาพได้ค่อนข้างนานกว่าแสงจะเปลี่ยน หากจะเปลี่ยนขนาดรูรับแสงหรือความเร็วชัตเตอร์ก็เพียงปรับให้สัมพันธ์กันโดยดูสเกลวัดแสงว่ายังอยู่ที่เดิม(ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ตำแหน่ง 0)


นักถ่ายภาพหลายท่านจะชอบใช้โหมด A เพราะคุมเรื่องชัดลึกชัดตื้นได้สะดวกโดยเลือกรูรับแสงที่ต้องการ จากนั้นก็ปล่อยให้กล้องเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมให้ แต่โหมด M ก็ทำเช่นนั้นได้โดยไม่เสียเวลาเท่าใดโดยเลือกรูรับแสงก่อนว่าต้องการชัดลึกหรือชัดตื้นจากนั้นก็ปรับความเร็วชัตเตอร์ตาม จนแสงพอดี ซึ่งถ้าคุณใช้โหมดนี้จนชำนาญจะพบว่ามันไม่ได้เสียเวลามากมาย ยังเร็วพอสำหรับการถ่ายภาพทั่วๆ ไปแน่นอนครับ


เมื่อคุณต้องการคุมเรื่องความเร็วชัตเตอร์ที่ใช้ เช่น ต้องการใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/1000 วินาที ถ่ายภาพคนวิ่ง ต้องการใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1 วินาที ถ่ายภาพน้ำตกให้เห็นสายน้ำสวยงาม นักถ่ายภาพหลายท่านจึงใช้โหมด S เพราะคิดว่าเป็นโหมดที่เหมาะกับการคุมความเร็วชัตเตอร์ แต่จริงๆ แล้ว โหมด S ค่อนข้างอันตรายเพราะหากความเร็วชัตเตอร์ที่คุณเลือกสูงหรือตํ่าเกินไปในสภาพแสงนั้นๆ กล้องปรับรูรับแสงจนสุดแล้วค่าแสงก็ยังไม่พอดี ผลก็คือภาพโอเวอร์หรืออันเดอร์ทั้งที่แสงในช่องมองดูพอดี (กล้องจะเตือนด้วยตัวเลขความเร็วชัตเตอร์กระพริบ หรือเป็นสีแดง แต่ผู้ใช้บางท่านไม่ทราบหรือไม่ได้สังเกต) ดังนั้นเมื่อต้องการเน้นคุมความเร็วชัตเตอร์ ควรใช้โหมด M ไม่ใช่โหมด S


นักถ่ายภาพส่วนใหญ่คิดว่าการใช้โหมด M ช้า ทำให้เสียเวลาในการปรับตั้งค่าแสง แต่จริงๆ แล้วการใช้โหมด M กับกล้อง Mirrorless ไม่ได้ช้าเลยครับเพราะเราสามารถเห็นค่าแสงจริงจากในช่องมอง EVF ภาพที่สว่างหรือมืดจึงสามารถปรับแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่คุณจะต้องฝึกทักษะในการปรับสักหน่อยว่าจะปรับอะไรก่อน อะไรหลัง เช่น ถ้าถ่ายภาพคน คุณก็ต้องรู้ก่อนแล้วว่าช็อตนี้คุณต้องการเบลอฉากหลังมั๊ย ถ้าใช่ก็ปรับรูรับแสงก่อนเป็น f/2.8 เป็นต้น จากนั้นก็ปรับความเร็วชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าค่าแสงพอดีก็ถ่ายภาพได้เลย หากใช้จนชำนาญจะพบว่าแต่ละช็อตจะใช้เวลาไม่เกิน 3-4 วินาที เท่านั้น

สำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่มักจะชอบใช้โหมด Auto ในการถ่ายภาพเพราะใช้ง่ายเหมือนสมาร์ทโฟน แค่เล็งแล้วถ่าย แต่การใช้แต่โหมด Auto คุณจะไม่มีทักษะและความเข้าใจเรื่องการควบคุมแสง การควบคุมความชัดลึก การเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ รวมทั้งไม่รู้วิธีแก้ไขเมื่อภาพมีปัญหาเรื่องแสง เรื่องความชัด เบลอ และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้นหากคิดจะจริงจังกับการถ่ายภาพ โหมด M ดีที่สุดสำหรับการฝึกทักษะการควบคุมกล้อง ควบคุมค่าแสง


หากคุณใช้แฟลชร่วมกับแสงธรรมชาติ เช่น ใช้เปิดเงาตัวแบบกับท้องฟ้าช่วงโพล้เพล้หรือช่วงแสงแดดจ้าตอนกลางวัน ควรใช้โหมด M เท่านั้น ไม่ควรใช้โหมด P, A หรือ S เพราะค่าแสงที่แตกต่างกันมากระหว่างตัวแบบกับฉากหลังจะทำให้คุณคุมความสว่างของฉากหลังยากมากเมื่อใช้โหมดอัตโนมัติ หากถ่ายตัวแบบแน่น ฉากหลังจะโอเวอร์ทันทีเพราะกล้องจะวัดแสงที่ตัวแบบเป็นหลัก คุณต้องไปชดเชยแสงที่ตัวกล้องด้วยเมื่อใช้แฟลชฟิล อาจจะกระทบกับแสงแฟลชด้วย มันจึงยุ่งยากมากในการคุมค่าแสงที่ตัวแบบและฉากหลังให้ได้พอดีทั้งสองอย่าง โหมด M ดีกว่าเพราะคุณเพียงแค่วัดแสงฉากหลังแล้วตั้งความเร็วชัตเตอร์กับรูรับแสงไว้ จากนั้นเปิดแฟลชฟิลไปที่ตัวแบบเท่านั้นเอง(ด้วยโหมด TTL Flash แบบง่ายๆ ก็ได้)


ในการใช้แฟลชสตูดิโอแนะนำให้ใช้โหมด M ครับเพราะว่าแฟลชจะไม่ทำงานสัมพันธ์กับกล้องดังนั้นถ้าใช้โหมด P หรือ A กล้องจะใช้ความเร็วชัตเตอร์ตามสภาพแสงแอมเบียนซ์ที่กล้องวัดได้ ซึ่งถ้าอยู่ในสตูดิโอหรือทีแสงน้อย ความเร็วชัตเตอร์จะตํ่ามากจนไม่สามารถบันทึกภาพได้ เช่นเดียวกับการใช้ร่วมกับแฟลชติดตัวกล้องต่างค่าย หรือทริกเกอร์สำหรับกล้องยี่ห้ออื่นก็จำเป็นต้องใช้โหมด M


อย่าลืมกด Like เพจ FOTOINFO เพื่อติดตามและอัพเดทข่าวสารใหม่ๆ อย่างทันท่วงทีกันนะคร๊าบ ^^


(SCAN QR CODE ด้านล่างเพื่อเพิ่มเพื่อนใน Line อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามและอัพเดทข่าวสารใหม่ๆ อย่างทันท่วงทีกันนะคร๊าบ)


หรือสนใจเทคนิคที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่นี่
https://test2.fotoinfo.online/tip-trick/photo-techniques