Shooting Destination

ท่องเที่ยววิถีไทย : “ครกหินอ่างศิลา” จากภูมิปัญญาชาวบ้าน สู่งานศิลป์ล้ำค่า

หาดบางแสน จุดท่องเที่ยวริมทะเลยอดนิยมที่ผมเองเดินทางไปเยือนอยู่บ่อยครั้ง ไปแวะทานอาหารกลางวันที่เขาสามมุก ก่อนจะไปนั่งเต๊นท์บริการริมทะเลที่หาดบางแสน หรือไม่ก็มุ่งตรงไปจัดมื้อกลางวันที่หาดบางแสน แล้วกลับมาทานมื้อเย็นที่เขาสามมุก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเดินทางแบบไหน ทุกๆ ครั้ง ผมก็มักจะต้องผ่าน “อ่างศิลา” แหล่งครกหินเลื่องชื่อ ของเมืองชลบุรี ซึ่งผมเคยได้ยินมาว่าครกหินอ่างศิลาสามารถจำนำได้ ซึ่งครั้งนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องเล่าสนุกๆ ไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้สัมผัสกับข้อมูลที่ลึกซึ้งในความเป็นมาของครกหินอ่างศิลา ก็เชื่อในความพิเศษของครกหิน ที่ทำให้ครกหินอ่างศิลามีคุณค่ามากกว่าครกที่ใช้ตำนํ้าพริกตามปกตินั่นเอง

ความเป็นมาของอ่างศิลามาจากเดิมนั้นพื้นที่ของตำบล “อ่างศิลา” ถูกเรียกว่า “อ่างหิน” เนื่องจากพื้นที่เดิมมีลักษณะเป็นเนินสูง มีศิลาขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นศิลาดาด หรือเป็นแผ่นหินราบเป็นแอ่งยาวรีขนาดใหญ่ นํ้าซึมผ่านไม่ได้ 2 แอ่ง มีขนาดกว้าง 7 ศอก ยาว 10 วา และลึก 7 ศอก หนึ่งแอ่ง และกว้าง 1 วา 2 ศอก ยาว 7 วา ลึก 6 ศอก อีกหนึ่งแอ่ง ซึ่งชาวบ้านได้อาศัยใช้ประโยชน์จากแหล่งนํ้านี้ ในยามหน้าแล้ง หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนชื่อจากอ่างหิน มาเป็นอ่างศิลา แต่ไม่ระบุแน่ชัดว่าเปลี่ยนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเพียงบันทึกการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ลงบันทึกไว้เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2419 ที่มีการบันทึกชื่อ “อ่างศิลา” ไว้อย่างเป็นทางการเท่านั้น

ส่วนครกหินกำเนิดขึ้นมาประมาณช่วงสงรามโลกครั้งที่สอง จากชาวจีนที่เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ที่อ่างศิลา และได้ใช้หินที่มีอยู่มากมายในพื้นที่ นำมาทำเครื่องโม่แป้งเพื่อทำขนม ส่วนเศษหินที่เหลือจากการทำเครื่องโม่ ก็นำเอามาทำครกหินเพื่อใช้ประกอบอาหารและเครื่องยาต่างๆ จนภายหลังช่างหินที่มีความรู้ก็แยกตัวออกมาทำครกหินจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของอ่างศิลามาจนถึงปัจจุบัน

พาหนะในการเดินทางไปอ่างศิลาของผมและทีมงานยังคงเป็นรถยนต์ Ativ Sedan 4 ประตู รุ่นท๊อปสุด S Plus (S+) สีแดงสดใส โดยมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Dual VVT-i 1.2 ลิตร 86 แรงม้า ที่ 6000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT-i โดย ชื่อของ Ativ มาจากคำว่า Smart และ Active ซึ่งเป็นการผสมผสานบุคลิกสองลักษณะนั่นคือ ความลํ้าสมัย และความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว โดยตัวรถถูกพัฒนาขึ้นจากแนวคิด LIFE ACTIVATED ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสู่โลกที่กว้างกว่านั่นเอง

ห้องโดยสารออกแบบได้กว้างขวาง ให้ความรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย เบาะนั่งเป็นแบบหนังเดินตะเข็บด้วยด้ายแดง ดูสปอร์ตสวยงาม และโอบหุ้มกระชับลำตัวดีทีเดียว ส่วนคอนโซลหน้าออกแบบได้สวยงามเช่นกัน โดยวางเส้นสายเป็นรูปตัว S สีดำ Piano Black และเป็นตำแหน่งของอุปกรณ์ใช้งานต่างๆ ทั้งเครื่องเสียง เครื่องปรับอากาศ และอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้เป็นอย่างดี

สำหรับพื้นฐานของรถยนต์ Ativ นั้น จัดอยู่ในหมวดหมู่รถ ECO Car ที่เน้นในด้านความประหยัด คายไอเสียออกมาน้อย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งหลายๆ คนอาจจะมองว่ารถที่มีกำลังน้อยๆ จะตอบสนองการขับขี่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไปต่างจังหวัด แต่กับ Ativ คันนี้ ไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ เมื่อต้องวิ่งบนเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์ หรือบนทางด่วนที่สามารถใช้ความเร็วได้ตามที่กฎหมายกำหนด ตัวรถก็ยังคงนุ่มหนึบ เกาะถนนได้เป็นอย่างดี การซับแรงสั่นสะเทือนเมื่อต้องวิ่งผ่านเส้นทาง

ขรุขระก็ทำได้ดีครับ ถือว่าเป็นการปรับเซ็ตมาได้เยี่ยมทีเดียว สำหรับการเร่งแซงนั้น ถือว่าตอบสนองได้เป็นอย่างดีเช่นกัน และเส้นทางช่วงหลายๆ สายที่ผมต้องขับผ่านไป ก็เป็นเส้นทางแบบ 2 เลนวิ่งสวนทางกัน การจราจรก็ค่อนข้างคับคั่งอยู่พอสมควร เพราะเป็นเส้นทางหลัก แต่ก็พอมีช่วงให้แซงอยู่บ้าง ผมลองคิ๊กดาวน์ที่ตำแหน่งเกียร์ D เพื่อทดสอบการตอบสนองของเครื่องยนต์ ก็ถือว่าตอบสนองได้ดีทีเดียวครับ พวงมาลัยเป็นแบบปรับไฟฟ้า EPS ปรับความหน่วงตามความเร็วของรถมีนํ้าหนักหน่วงมือ เมื่อความเร็วรถสูงขึ้น แต่ค่อนข้างหมุนลื่นเมื่อใช้งานในเมืองที่ความเร็วตํ่า ซึ่งก็ช่วยให้ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย รวมทั้งในยามที่การจราจรหนาแน่นได้อย่างสะดวกดีทีเดียว นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับควบคุมเครื่องเสียง และรับโทรศัพท์จากพวงมาลัยได้อีกด้วย

ก่อนที่จะเดินทางมายังอ่างศิลานั้น ผมและทีมงานได้เดินทางไปยังสวนสัตว์เปิดเขาเขียว แหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ๆ กับอ่างเก็บนํ้าบางพระที่ผมและทีมงานเดินทางไปท่องเที่ยวในทริปที่ผ่านมา โดยสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นสวนสัตว์ที่สามารถขับรถเข้าไปชมสิงสาราสัตว์ในพื้นที่ของสวนสัตว์ ซึ่งมีพื้นที่รวมๆ กว่า 5,000 ไร่ และแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนการแสดง มีพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ เป็นส่วนที่จัดแสดงให้สัตว์ได้มีความเป็นอยู่ที่เป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับความเป็นจริง เช่น สวนกวาง หรือกรงนกใหญ่ เป็นต้น

การให้อาหารยีราฟในโซนซาฟารี ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มากทีเดียว

สวนละมั่งที่เปรียบเสมือนด่านแรกที่เข้าสู่พื้นที่ของสวนสัตว์

ส่วนของการศึกษาและวิจัย มีพื้นที่กว่า 3,500 ไร่ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าตามธรรมชาติที่มีอยู่เดิม รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและฟื้นฟูของป่าหลายประเภทเพื่อจะให้เป็นแหล่งอาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่าในธรรมชาติ และเป็นพื้นที่โครงการศึกษาวิจัยและขยายพันธุ์สัตว์ป่าหายากและสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ เช่น นกกาบบัว และนกกระทุง เพื่อให้คืนสู่ธรรมชาติ โดยพื้นที่ส่วนนี้ ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และส่วนที่ 3 เป็นส่วนบริการ ซี่งเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อน รับประทาน และอ่างเก็บนํ้า รวมทั้งศูนย์การศึกษาสวนพฤกษศาสตร์ด้วย มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 500 ไร่

นกแต้วแล้วธรรมดา ที่อาจจะไม่ได้เจอะเจอกันบ่อยนักในธรรมชาติปกติ

นกชาปีไหนกำลังฟักไข่ มีจำนวนค่อนข้างเยอะทีเดียวในกรงนกใหญ่

ผมเองชื่นชอบกรงนกใหญ่เป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ไปเที่ยวก็มักจะใช้เวลาอยู่ด้านในค่อนข้างนาน เพราะมีนกนานาชนิดให้ถ่ายภาพ แน่นอนว่าเลนส์ที่เหมาะสมก็ควรเป็นช่วงเทเลโฟโต้ ซึ่งช่วง 70-200 มม. ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี ผมมักจะเจอนกแปลกๆ ที่เจอค่อนข้างยากในธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง และอยู่ในระยะที่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ธรรมชาติแบบเปิดโล่งจริงๆ แต่ก็ให้ความสนุกกับการถ่ายภาพได้พอสมควรครับ

ครั้งนี้ผมไม่ได้ใช้เวลาอยู่ภายในสวนสัตว์เปิดมากนัก ออกจากกรงนกใหญ่แล้ว ผมก็ตรงไปยังอ่างศิลาเลยทันที เพราะนัดถ่ายภาพช่างครกหินของรุ่งเรืองศิลาทิพย์เอาไว้ด้วย ซึ่งบริษัทรุ่งเรืองศิลาทิพย์นั้น ถือเป็นกลุ่มของช่างครกหินอ่างศิลาในยุคแรกเริ่ม โดยนายไฮ้ แซ่ลี้ จากนั้นได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องหิน และการตีหินมาสู่คุณขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์ ซึ่งเป็นทายาทโดยตรง และดำเนินกิจการมาจวบจนปัจจุบัน

ผมเดินเข้าไปยังพื้นที่ด้านหลังร้านค้าของรุ่งเรืองศิลาทิพย์ ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางมากทีเดียว มีก้อนหินทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ วางกองอยู่เป็นระยะ ผมถามถึงช่างครกหินจากช่างแกะหินที่กำลังแกะรูปพระสังกัจจ์จายขนาดใหญ่ตามแบบที่ส่งมาให้ ซึ่งต้องคำนวณเรื่องของสัดส่วนให้ตรงตามแบบ และก็ขึ้นอยู่กับฝีมือและประสบการณ์ของช่างหินล่ะครับ

ปัจจุบันจะมีเครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่ ช่วยให้ได้งานตามที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

ใช้ใบเจียรเซาะนำร่อง ก่อนที่จะใช้ค้อนและสิ่วเจาะให้เป็นรูปร่างของครก

งานแกะหินตามออเดอร์ของลูกค้า ซึ่งมีของต้นแบบมาให้

“เดินเข้าไปด้านในเลย” ช่างบอกพร้อมชี้มือไปยังด้านใน ผมเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนเจอกองหินที่มีลักษณะเป็นก้อนๆ ขนาดเท่าๆ กันวางกองอยู่มากมาย และเจอกับช่างที่กำลังทำครกหินอยู่ด้วย ผมก็เลยขอให้ช่างสาธิตกรรมวิธีการทำครกหินให้ดูซะเลย

จากก้อนหินทรงกลมแต่ไม่เรียบ ช่างก็จะนำมาเซาะรองด้วยใบเจียร ซึ่งเป็นเครื่องมือสมัยใหม่ที่เอามาช่วยให้งานแกะครกหินทำได้เร็วขึ้น โดยช่างจะเจียรหินให้เป็นร่องๆ จากนั้นจะใช้ฆ้อนและสิ่วตอกเอาชิ้นส่วนเกินออกไปเพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ ก่อนที่จะใช้ใบเจียรปรับแต่งรูปทรงสลับกับการใช้สิ่วสะกัดส่วนเกินออกไปเรื่อยๆ จนได้รูปทรงตามที่ต้องการ สำหรับเอกลักษณ์ของครกหินอ่างศิลานั้น จะต้องมีหูสำหรับจับยกสองข้าง เพื่อให้สะดวกในการจับยก เพราะครกหินมีนํ้าหนักค่อนข้างมากนั่นเอง

ครกหินอ่างศิลาแบบดั้งเดิม

ครกหินสมัยใหม่ ที่มีลวดลายต่างๆ มากขึ้น

ความพิเศษของหินอ่างศิลานั้น จะเป็นหินแกรนิตที่มีสีขาวนวล ช่างจะเรียกว่าสีมันปู เมื่อยกขึ้นส่องกับแสงจ้าๆ จะมีประกายระยิบระยับ ปัจจุบันแหล่งหินอ่างศิลาถูกปิดการทำสัมปทานไปแล้ว ครกหินในยุคปัจจุบัน จึงเป็นหินมีอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะปิดสัมปทาน และหินที่มาจากถิ่นอื่น ซึ่งเป็นหินแกรนิตที่มีความแข็งเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่สีนั่นเอง และครกหินที่เป็นหินอ่างศิลาแท้ๆ นั้น จะมีราคาค่อนข้างสูง เพราะนักสะสมเริ่มหาเก็บกันแล้ว ครกบางลูกมีราคาเกินสองหมื่นบาทด้วยซํ้าไปครับ หรือครกหินขนาดใหญ่บางลูกที่เป็นการตีหินแบบดั้งเดิม ไม่ได้ใช้เครื่องมือสมัยใหม่มาช่วย ถือเป็นของสะสมที่มีราคาขยับไปถึงตัวเลขหกหลักกันเลยทีเดียว นั่นแหละ ด้วยราคาขนาดนี้ ทำให้ครกจากหินอ่างศิลาแท้ๆ จึงสามารถนำไปจำนำได้ตามที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้นนั่นเองครับ

นอกจากครกหินอ่างศิลาที่เป็นทั้งของฝาก ของที่ระลึก และของโชว์ในตู้ โดยเฉพาะครกหินอ่างศิลาแท้ๆ แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์หินอีกมากมาย อาทิ ตุ๊กตาสิงโต, พระพุทธรูป, ช้าง, ม้า และของตกแต่งสวนต่างๆ ให้เลือกซื้อหา นอกจากนี้ทางรุ่งเรืองศิลาทิพย์เอง ยังรับผลิตชิ้นงานตามออร์เดอร์ของลูกค้าด้วย เรียกได้ว่าผลิตภัณฑ์จากหินนั้น มีให้เลือกตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ จิ๋วๆ แบบเครื่องประดับ ไปจนถึงชิ้นใหญ่ๆ สำหรับตกแต่งบ้านอีกด้วย

เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเดินเข้าครัวไปดูครกหินที่มีเป็นอุปกรณ์ติดครัวมานานแล้ว เพราะจำได้ว่าซื้อมาจากอ่างศิลานี่แหละครับ ..มีสองหูจริงๆ ด้วย แสดงว่าผมได้ของแท้มาอย่างแน่นอน ติดอยู่ที่ไม่ใช่ครกหินสีมันปูเท่านั้นเอง เลิกคิดเรื่องโรงรับจำนำไปได้เลย ..ฮ่า!!…

หลังจากจบทริป ผมนำรถไปคืนหน่วยงานของโตโยต้า ชำเลืองมองเกจ์นํ้ามัน ยังมีเหลืออยู่กว่าครึ่ง ตลอดทั้งทริป ผมขับไปเกือบๆ หนึ่งพันกิโล เพราะขับหาโลเคชั่นในการถ่ายภาพหลายๆ จุดด้วย ผมเติมนํ้ามันไปสองครั้งในราคาเพียงแค่หลักร้อยเท่านั้นเอง ก็ถือว่าให้ความประหยัดที่ดีเยี่ยมทีเดียว ความสะดวกสบายในห้องโดยสารผมถือว่าทำได้ดีเช่นกัน ถึงแม้จะใช้เวลาในการขับขี่นานๆ ก็ไม่ได้รู้สึกเมื่อยล้าแต่อย่างใด การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นก็คล่องตัวดี ซึ่งถือเป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วๆ ไปได้เป็นอย่างดีล่ะครับ

สำหรับทริปหน้า ผมและทีมงานจะเดินทางไปที่ไหน และพาหนะของเราจะเป็นรถยนต์โตโยต้ารุ่นไหนนั้น ติดตามกันได้ในฉบับหน้าครับ ..สวัสดีครับ…

เรื่อง / ภาพ : กองบรรณาธิการ
ขอขอบคุณ… บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

 


อย่าลืมกด Like เพจ FOTOINFO เพื่อติดตามและอัพเดทข่าวสารใหม่ๆ อย่างทันท่วงทีกันนะคร๊าบ ^^


หากเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ ฝากกดไลค์และแชร์ด้วยนะครับ
FOTOINFO มี LINE@ OFFICIAL แล้ว !!! อย่าลืมแอดไลน์ @FOTOINFO (หรือสแกน QR Code ในภาพนี้)

ขอบคุณครับ

? ติดตาม FOTOINFO ได้ทั้งรูปแบบนิตยสาร Free Copy, e-magazine ฟรีดาวน์โหลด และช่องทางอื่นๆออนไลน์ได้ที่ ?
?Line@ : @fotoinfo
?YouTube : Fotoinfo Channel
?Website : fotoinfomag.com
?e-magazine : issuu.com/fotoinfomagazine


ติดตามเทคนิค ความรู้เรื่องการถ่ายภาพ กิจกรรมถ่ายภาพ และสิทธิประโยชน์มากมาย ส่งตรงถึงคุณ ได้ที่นี่ FotoinfoPlus

ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยววิถีไทยที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่นี่

https://test2.fotoinfo.online/travels/shooting-destination/